ถ้าใครสังเกตสถานการณ์ การแข่งขันของสถาบันการเงิน ในช่วงนี้ จะพบว่า หลายสถาบันทั้งของไทย และของต่างชาติ ต่างมุ่งเป้าหมาย การหารายได้ ลงมาในส่วนของสินเชื่อลูกค้า รายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ ซึ่งนอกจาก การให้สินเชื่อ ลักษณะ เงินกู้ส่วนบุคคล ประเภทต่างๆ และวงเงินหมุนเวียนหลากหลายชื่อแล้ว ของเก่าที่ยังนำมาเป็น เครื่องมือเพิ่มรายได้ให้กับสถาบันอีกอย่างก็คือ บัตรเครดิต ซึ่งมีทั้งบัตรที่ออกโดย สถาบันการเงิน เอง ที่เรียกกันว่า LOCAL CARD หรือบัตรที่มีลักษณะเป็น INTERNATIONAL อย่าง VISA / MASTER CARD / AMEX / DINERS บางสถาบันการเงิน ยังมี บัตรลูกผสมที่เป็นทั้ง LOCAL และ INTERNATIONAL ในใบเดียวกัน เพื่อให้ผู้ถือมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น การแข่งขันด้านบัตรเครดิตที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2544 ต่อเนื่องจน ถึงปัจจุบัน เมื่อประกอบกับ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ลดวงเงินรายได้ของผู้มีสิทธิ์ถือ บัตรCredit จากเดิมต้องมีรายได้ 20,000.- บาท / เดือน คงเหลือไม่ต่ำกว่า 15,000.- บาท / เดือน ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น มีผู้ถือบัตรรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจาก ธนาคาร แห่งประเทศไทยระบุว่า มีจำนวนบัตรCredit ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2544 จำนวน 1.89 ล้านบัตร และคาดว่า จะเพิ่มเป็นมากกว่า 2.0 ล้านบัตร ในปี 2545 ซึ่งจะเป็นจำนวนที่สูงที่สุด และมากกว่าช่วงก่อน เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ด้วยซ้ำไป
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จำนวน บัตรCredit ที่เพิ่มขึ้น และจะต้องมี การบริโภค มากขึ้นตามมานั้น ไม่ได้สอดคล้อง หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกับ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อโดยรวมลดลง หากมองกันใน แง่ร้ายจะเห็น ความเสี่ยงที่จะเกิด NPL ขึ้นใหม่อีกครั้ง นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเหล่านี้ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาระดับประเทศ สำหรับผู้มีส่วน เกี่ยวข้องที่จะดูแล และกำกับควบคุมต่อไป แต่ในส่วนของผู้บริโภค หรือผู้ถือบัตรเอง ก็ควรตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่ใช้บัตรเครดิต ให้ถูกแนวทาง หรือมีความเข้าใจไม่เพียงพอ
โดยคุณสมบัติพื้นฐานบัตรCredit คือ เครื่องมือที่ผู้ออกบัตรออกให้กับผู้ถือบัตรเพื่อนำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ แทนเงินสด ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาตามที่ตกลง ผู้ถือบัตรจะต้องชำระเงินส่วนนั้นคืนให้กับผู้ออกบัตร แต่เดิม การชำระคืน แต่ละรอบ ผู้ถือบัตรจะต้องชำระคืนเต็ม จำนวนที่ได้รับการแจ้งยอด ธนาคาร หรือผู้ออกบัตร จะมีรายได้หลัก 1 - 3 % จากรายการใช้จ่ายของ ผู้ถือบัตรแต่ละรายการ โดยหักเอาจากร้านค้าที่ขาย ผ่านบัตรเครดิต (นอกจากรายได้จาก ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี) ในปัจจุบันมี การกำหนดเงื่อนไข การชำระคืนเป็นสามารถผ่อนชำระได้ 5 - 10 % ของยอดการใช้จ่ายต่องวดหรือยอดคงค้าง (แต่ต้อง ไม่ต่ำกว่า 2,000.- บาท ตามประกาศของ ธนาคารแห่งประเทศไทย) ในแง่ของผู้ถือบัตรมีแนวทางเลือกมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เกิดยอดคงค้าง ในบัตรเครดิตมากขึ้น ทำให้ผู้ออกบัตรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก ทางจากดอกเบี้ยซึ่งคิดจากยอดหนี้คงค้าง (ข้อมูล ในไตรมาสที่ 1 ปี 2544 พบว่า ยอดหนี้คงค้างในระบบบัตรเครดิต ทั้งประเทศมีประมาณ 32,000.- ล้านบาท) นอกจากนี้ผู้ออกบัตร ยังมีรายได้จาก ค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสด ฉุกเฉินล่วงหน้า และค่าธรรมเนียมจาก การชำระล่าช้าอีกด้วย
กลยุทธ์ต่างๆ ของผู้ออกบัตร ที่นำมาชักชวนผู้บริโภค ตั้งแต่ต้นปี 2544 อาทิ การยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี การให้ ของแถมมูลค่า ตั้งแต่หลักร้อยบาท จนถึงพันกว่าบาท สำหรับผู้สมัครใหม่ การให้โบนัสหรือรางวัลเป็นสิ่งของ หากมีการใช้จ่ายผ่านบัตร ถึงเป้าที่กำหนด หรือการใช้นโยบายราคา โดยลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับโอนหนี้ เพื่อแย่งชิงลูกค้ากลุ่มเดิม เป็นการแข่งขันที่ไม่เคย ปรากฎมาก่อนตั้งแต่บัตรเครดิต เริ่มเข้ามามีบทบาท ในระบบสถาบันการเงินของประเทศ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน อาจกล่าวได้ว่า ภาวะตลาด บัตรเครดิต ปัจจุบันเป็นของผู้บริโภคก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของผู้บริโภคที่จะถือบัตรเครดิตสักใบ หรือจะใช้จ่ายผ่านบัตร
เครดิตที่มีอยู่แล้ว ผู้ถือ บัตรCredit น่าจะมีกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับตัวเองคือ
1. เลือกเงื่อนไขชำระคืนที่เหมาะสม การเลือกเงื่อนไขผ่อนชำระคืนเต็ม ตามจำนวนในใบแจ้งยอด แม้จะเป็น การแสดงความตั้งใจ ในการรักษาวินัยทางการเงินของผู้ถือบัตร แต่ในบางครั้งเป็น การบังคับตนเอง เกินไปจน ไม่มีทางถอย และอาจสร้างปัญหาให้กับ ผู้ถือ บัตรได้ในอนาคต โดยเฉพาะใน ภาวะเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มีความแน่นอน ผู้ถือบัตรหลายรายเลือกเงื่อนไขชำระคืนเต็มตามจำนวน ในใบแจ้งยอด แต่กลับพบภายหลังว่า ตนเองกลายเป็น ผู้ถือบัตรเครดิตที่มีปัญหา เมื่อไม่สามารถ ชำระคืนได้ตรงตาม กำหนดทุกครั้ง ซึ่งตรงข้ามกับผู้ที่เลือกผ่อนชำระขั้นต่ำ 10 % ผู้ถือบัตรเหล่านั้นสามารถ กำหนดเงื่อนไขให้ตนเองที่จะเลือกชำระเต็มจำนวนได้ โดยที่ ผู้ออกบัตร ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด แต่หากเดือนใดมีเหตุขัดข้องก็ยังสามารถเลือกชำระ 10 % ตามที่ตกลงกับผู้ออกบัตรไว้ได้เรียกว่า ยังเก็บ ทางถอยไว้ให้กับ ตนเอง และในแง่ของสถาบันผู้ออกบัตรจะถือว่าเป็นลูกค้าเกรด A ด้วยซ้ำ เนื่องจากสามารถชำระได้ดีกว่า เงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
2. พยายามชำระหนี้เต็มตามใบแจ้งยอด หลีกเลี่ยงยอดค้างชำระ ไม่ว่าจะเลือกเงื่อนไขใด ในการชำระคืน ก็ตามสิ่งสำคัญที่ ผู้ถือบัตรต้อง คำนึงไว้ตลอดเวลา คืออัตราดอกเบี้ยที่ผู้ถือบัตรถูกคิดจากยอดค้างชำระ (หลังจากครบกำหนดชำระแล้ว) จะอยู่ที่ประมาณ 17 - 18 % ต่อปี หรืออาจสูงถึง 24 - 27 % ต่อปีในกรณีผู้ออกบัตรที่เป็นสถาบันต่างชาติ อัตราดังกล่าวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาก เพราะฉะนั้น คงจะไม่ถูกต้องตาม หลักทฤษฎีการบริหารเงินแน่ หากสามารถชำระเต็มได้แต่ไม่ชำระ โดยเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินฝาก
3. หลีกเลี่ยงการเบิกถอนเงินสดฉุกเฉิน หรือ CASH ADVANCE โดยทั่วไป บัตรเครดิต จะมีวงเงิน ให้เบิก เงินสดฉุกเฉิน ได้ 50-100 % ของวงเงินบัตรหรือ ยอดคงเหลือขณะนั้น การเบิกแต่ละครั้ง ต้องแน่ใจว่าฉุกเฉินจริง ๆ เนื่องจากผู้ถือบัตรจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 4 - 5 % ของยอดที่เบิกทันที และผู้ออกบัตรบางราย ยังคิดดอกเบี้ย จากยอดดังกล่าวนั้น ตั้งแต่วันที่เบิกอีกด้วยซึ่งแสดงว่าจะมี ีต้นทุน ดอกเบี้ยจาก เงินก้อนดังกล่าวนั้น 5 - 6 % ต่อเดือน หรือ 60 - 70 % ต่อปีทีเดียว
4. หลีกเลี่ยงการชำระไม่ตรงกำหนด เนื่องจากจะมีค่าปรับเกิดขึ้นมากน้อยตามแต่สถาบันผู้ออกบัตรจะกำหนด ผู้ออกบัตรบางสถาบัน กำหนดเป็นเกณฑ์แน่นอน 100 - 200 บาทต่อครั้ง แต่ผู้ออกบัตรบางราย กำหนดเป็น เปอร์เซ็นต์ของยอด ที่ต้องชำระคืนตามใบแจ้งยอด ซึ่งหากเดือนใดผู้ถือบัตรหลงลืมชำระไม่ตรงกำหนด อาจจะต้อง ถูกปรับเป็นหลักพันบาททีเดียว
ข้อคิดสำคัญที่ต้องคิดทุกครั้งในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต คือ ก่อนรูดบัตรแต่ละครั้งเพื่อซื้ออะไรก็ตาม ลองคิดดูสักนิดว่า เรามีเงิน ในบัญชีขณะนั้น มากพอที่จะชำระคืนหรือไม่ เงินในบัญชีนั้นต้องเป็นสำหรับส่วนที่กันไว้สำหรับใช้จ่าย ไม่ใช่เงินออมด้วยจึงจะถูกต้อง หากไม่มีเงินพอในขณะนั้น และการรูดบัตรนั้น เป็นการใช้จ่ายเพื่อรอการเงิน ในอนาคตมาชำระคืน ผู้ถือบัตรควรจะหยุดคิดสักนิด ว่า สินค้าหรือบริการนั้นมีความจำเป็นเพียงใด บัตรเครดิต จะมีประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อผู้ถือบัตรใช้แทนเงินสดที่มีอยู่ และมีเวลาอีก 40 - 45 วันที่จะต้องจ่ายเงินสด ที่มีอยู่นั้นออกไป นั้นคือการใช้บัตรเครดิตที่ถูกวิธี แต่ผู้ถือบัตรจะเป็นฝ่ายถูกใช้โดยผู้ออกบัตรให้เป็นลูกหนี้ และภาระหนี้ที่ต้องชำระคืน ไม่จบสิ้นในอนาคตทันที ถ้าผู้ถือบัตรใช้จ่ายโดยหวังว่าจะนำเงินรายได้ในอนาคตมาชำระคืน ผู้ถือบัตรดังกล่าว จะต้องทำงาน เพื่อตามใช้หนี้ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถ วางแผนการเงิน ให้ถูกแนวทางได้อีกเลย
กลเม็ดใช้ บัตรCredit แบบถูกวิธี
ทุกวันนี้การใช้ บัตรCredit กลายเป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตของคนไทยทั่วไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ประกอบการทั้งธนาคาร และสถาบันที่ออก บัตรเครดิต ต่างดึงดูดใจลูกค้าด้วยโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมาย จนทำให้จำนวนผู้ใช้บัตรเครดิต เพิ่มอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีบัตรเครดิตแล้วก็ควรใช้อย่างสบายใจและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้ ใช้บัตรเครดิตกับสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น จากสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ ส่งผลทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ฉะนั้น การจะซื้อสินค้า ก็ควรจะเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น ส่วนสินค้าจำพวกอำนวยความสะดวก ให้ชีวิตนั้นคงจะต้องรอไว้ก่อน จนกว่าสภาพคล่องทางการเงินดีขี้นกว่าปัจจุบัน
คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ หลังจากใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าแล้ว ควรชำระหนี้ที่ถูกเรียกเก็บ ให้เจ้าหนี้เต็ม จำนวนที่เรียกเก็บและตรงกำหนดเวลาวันชำระ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดอกเบี้ยและค่าปรับจากการชำระหนี้ช้า ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิต ควรคำนึงถึงรายได้ของตน หรือความสามารถในการชำระหนี้คืนให้แก่เจ้าหนี้
ดูวันก่อนออกจากบ้านไป ช้อปปิ้ง พยายามใช้บัตรครดิต ให้ได้ระยะเวลาในการปลอดหนี้ให้มากที่สุดจากธนาคาร โดยเลือก หลังจากวันที่มี การสรุปยอดการใช้จ่ายทุกครั้ง เนื่องจากถ้านำบัตรเครดิตไปใช้ใกล้ถึงวันตัดยอด ก็จะได้เวลา ในการปลอดหนี้น้อย และต้องชำระเงินเร็ว ยึดแนวนี้ไม่มีพลาด
- ศึกษาเงื่อนไขของบัตรเครดิตที่ถืออยู่อย่างละเอียด
- หมั่นติดต่อกับธนาคารเพื่อจะได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
- ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้า หรือบริการในระยะเวลาปลอดหนี้
- ตรวจสอบความถูกต้องของรายการสินค้าและจำนวนเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้ง
- เก็บสลิปที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
- เก็บรักษาบัตรเครดิตให้ปลอดภัย
- ยกเลิกการถือบัตรเครดิต หากไม่มีความจำเป็น
เริ่มต้นอย่างไรดี ถ้าต้องการมีบัตรเครดิตไว้ใช้สักใบ บัตรเครดิต หลายท่านต้องการมีไว้ใช้จ่ายอย่างน้อย 1 หรือ 2 ใบ เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของท่านในแต่ละเดือน ปัจจุบันบัตรเครดิตมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิม ซึ่งเคยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 25 % - 29 % ต่อปี เหลือเพียง 18 % ต่อปีเท่านั้น อีกทั้งค่าธรรมเนียม ในการเบิกถอน เงินสดก็ปรับลดลงอีกด้วยเหลือเพียง 3 % ของยอดที่เบิกถอน
ข้อดีของการมีบัตรเครดิต คือ ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องชำระค่าสินค้า หรือบริการ เป็นเงินสด ท่านสามารถใช้บัตรเครดิตของท่าน ชำระค่าใช้จ่ายได้ทันที โดยเงินสดของท่าน ก็ยังคงมีอยู่ ที่สำคัญค่าบริการหรือสินค้าที่ท่านใช้จ่ายนั้น ท่านสามารถชำระคืน ได้ในภายหลัง โดยมี ระยะเวลาประมาณ 45 - 55 วันแล้วแต่บัตรของธนาคาร ท่านไม่จำเป็น ที่จะต้องชำระคืนเต็ม จำนวน เพราะท่านสามารถเลือกชำระคืนเพียง 5 % ของค่าใช้จ่ายท่านของท่าน บัตรเครดิตยังให้ท่านเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า
สำหรับเหตุการณ์ในทุกสถานการณ์ เช่นค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน และบัตรเครดิตยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมากมาย ไม่ว่า จะเป็น การผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตราดอกเบี้ย 0 % การสะสมคะแนนแลกของกำนัล ต่างๆ การเห็นไหมครับว่า บัตรเครดิตน่าสนใจจริงๆครับ
ข้อเสียของการมีบัตรเครดิต
ข้อนี้ขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมของท่านเองว่า ท่านสามารถควบคุมการใช้บัตรของท่านได้ถูกวิธีหรือไม่ หากท่านมีการใช้วงเงินเกิน
การชำระคืนของท่าน การมีบัตรเครดิตก็เป็นดาบ 2 คมเช่นกัน ดังนั้นเมื่อท่านมีบัตรเครดิต ท่านควรมี วิธีการบริหารการใช้จ่าย อย่างถูกวิธี เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารการเงินของตัวท่านเอง
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกสมัครบัตรCredit
1. อัตราดอกเบี้ย
2. ค่าธรรมเนียมต่างๆในการใช้บัตร
3. การให้บริการ
4. ค่าบริการรายปี
5. โปรโมชั่นของบัตรแต่ละประเภท
วิธีเลือกบัตรCredit
พิจารณาเงื่อนไขในการสมัครของบัตรนั้น ๆ เช่น เงินเดือนขึ้นต่ำ เงินเดือนต้องผ่านแบงค์ เป็นต้น ใช ้บัตรเครดิต อย่างฉลาด
สินเชื่อหรือเครดิต มีหลายหลายรูปแบบในประเทศไทย นอกเหนือจากบัตรเครดิตที่ช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่น และคล่องตัว ในการใช้เงินสูงสุดแล้วก็ยังมี บัตรเครดิต อีกหลายประเภท อาทิ บัตรเพื่อการกู้ยืม สำหรับนักเรียน การกู้เพื่อ วันพักผ่อน การกู้เพื่อซื้อบ้าน หรือการจำนองแม้ว่า บัตรเครดิต เหล่านี้จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป แต่มีลักษณะพิเศษร่วมกัน บางประการ เช่น ช่วยให้เราคง รูปแบบการใช้ชีวิตตามความปรารถนาได้ โดยไม่ต้อง จ่ายเงินครั้งละมากๆ ดังนั้น การใช้บัตรเครดิต อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ผู้ใช้บัตรได้รับประโยชน์ ความปลอดภัย และความสะดวก
ในทางกลับกัน การใช้บัตรเครดิตอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้คุณตกอยู่ในความเดือดร้อน มีหลายกรณีที่ผลของ
การใช้บัตรเครดิตกลายเป็นภาระหนักทางการเงินของคุณ แทนที่จะช่วยส่งเสริมการเงินส่วนตัวของคุณ แนวทางต่อไปนี้เป็นวิธี การใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด และการล่วงรู้สัญญาณอันตรายจากการใช้เครดิตอย่างไม่เหมาะสม ผู้บริโภคที่เฉลียวฉลาด จะใช้เครดิตเพื่อส่งเสริมการใช้เงิน มากกว่าการทำให้กลายเป็น ภาระทางการเงิน ลองพิจารณาแนวทาง อันชาญฉลาดใน การใช้บัตรเครดิตดังนี้
จัดทำงบค่าใช้จ่ายประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ คอลัมน์แรกเขียนรายการค่าใช้จ่ายและคอลัมน์ที่สอง เขียนรายได้หลังหักภาษี เมื่อคุณนำค่าใช้จ่ายมาเปรียบเทียบกับรายได้ คุณจะเห็นทันทีว่าคุณเป็นหนี้เท่าไร และคุณสามารถ รับภาระได้หรือไม่ ขั้นตอนนั้นนับว่ามีความสำคัญมาก
วิธีการที่ดีที่สุดใน การสร้างกรอบให้ตัวเอง คือการยืมเงินหรือใช้จ่ายเงินล่วงหน้าภายในวงเงินที่คุณสามารถใช้คืนได้ พิจารณาว่าคุณสามารถใช้เงินในจำนวนเท่าไร แล้วค่อยใช้เครดิตตาม จำนวนนั้นแทน การนั่งคำนวณว่า คุณจะได้รับเครดิตเท่าไร
กฎทั่วไป คือ คุณควรจะจำกัดยอดการกู้ยืมเงินไว้ที่ 20% ของรายได้หลังหักภาษี ควรจำกัดตัวเองด้วยการใช้บัตรเพียงใบเดียว เช่น บัตรเครดิตของห้างสรรพสินค้าที่คุณชอบ หรือบัตรสถานีบริการน้ำมัน ควรแน่ใจว่า ในการชำระเงินที่กู้ยืมมานั้น คุณไม่ต้องจ่ายค่าปรับ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมี ความยืดหยุ่น ในการชำระเงินเวลาใดก็ได้
อย่าคิดเอาเองว่า คุณได้รับอนุญาตให้กู้ยืม ดังนั้นคุณจึงพร้อมแล้วที่จะใช้เครดิตให้มากกว่ายิ่งขึ้น หากคุณมีเป้าหมายที่ จะควบคุมการเงินของคุณ ควรแน่ใจว่า การเงินของคุณมีเสถียรภาพเพียงพอก่อนการยอมรับเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติม ควรอ่าน รายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เพราะมีข้อแตกต่างมากมายระหว่างผู้ออกเครดิต และเงื่อนไขการจ่ายคืน ปรึกษาคู่สมรส หรือสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในภาระหนี้สิน ควรหาข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ทุกอย่างดำเนิน ไปอย่างราบรื่น การทำเช่นนี้จะช่วยไม่ให้เกิดการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น หรือการใช้เงิน อย่างไม่สมเหตุผล อีกทั้งช่วย สร้างความมั่นใจว่า ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทุกคน เต็มใจทำตามข้อตกลง ควรคิดเสมอว่า การเซ็นชื่อร่วมกันถือเป็นสัญญา ถ้าผู้ทำสัญญาไม่อาจชำระหนี้ได้ คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้นก่อนเซ็นชื่อควรแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีความรับผิดชอบอย่างจริงจัง และพิจารณาว่าคุณ สามารถจัดการกับหนี้สินต่างๆ ได้หากคุณต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หากคุณเป็นนักชอปปิ้งด้วย ที่ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ และมักทำผิดเงื่อนไขการกู้ยืม เป็นเวลาติดต่อกันยาวนาน คุณยังไม่ควรใช้บัตรเครดิตจนกว่า คุณจะสามารถใช้เงินภายในวงเงินที่มีอยู่ได้ ให้บัตรเครดิตเป็น เพื่อนร่วมทางที่คุณวางใจได้ ไม่มีใครต้องการเผชิญกับภาวะเงินขาดมือ ในขณะอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าคุณมีบัตรเครดิต ที่ใช้ได้ทั่วโลกสักใบ ฝันร้ายนี้ย่อมจะไม่เกิดขึ้น
ได้ข้อมูลมาจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ข้อมูลมาจาก http://www.sfac.or.th
บัตรCredit ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี
เขียนโดย
888
on วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ป้ายกำกับ:
บัตรCredit ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี
/
Comments: (0)
บัตรCredit... ใช้อย่างรู้ทัน (Momypedia)
เขียนโดย
888
ป้ายกำกับ:
บัตรcredit
/
Comments: (0)

บัตรCredit ของคนมีเครดิต
ขอเริ่มต้นทักทายกันด้วยเรื่องที่เป็นกระแสนิยมในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า คนมีเครดิตก่อน ซึ่งดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ทั้งคนที่กำลังตกเป็นเพื่อนซี้ของเจ้าเงิน พลาสติก ไม่ว่าจะไปไหนต่อไหนก็จะต้องพกติดตัวเสมอ โดยเฉพาะเวลาเดินช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า ดูหนัง ฟังเพลง และกิจกรรมอื่นๆ นอกบ้านที่คุณต้องจ่ายเงิน บัตรเครดิตได้กลายเป็นสิ่งสำคัญต่อคนยุคนี้ไปแล้ว
ส่วน ผู้ที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเข้าไปตีสนิทกับบัตรเครดิตนี้ดีหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้เจ้าหน้าที่จากสถาบันการเงินต่างๆ ได้มารุมจีบคุณไม่เว้นแต่ละวัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังต้องการเป็นคนมีเครดิต Tricks of life จะช่วยคุณตัดสินใจได้ว่าควรหรือไม่ควร หรือถ้าตกลงปลงใจแล้ว ประสบการณ์จากคนอื่นๆ ที่ดิฉันกำลังจะบอกว่ามีผลกระทบต่อทุกๆ คนอย่างไร หากไม่ระมัดระวังในการใช้ลายเซ็นต์ของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะเป็นข้อคิดได้ดีเลยทีเดียว บัตรCredit
ปัจจุบันนี้บัตรเครดิตหรือเงินพลาสติกนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ต่อคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนทำงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของสถาบันการเงินต่างๆ ในการปล่อยสินเชื่อบุคคล ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่มือใหม่บางท่านก็จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความพร้อมที่จะใช้ เงินพลาสติกดังกล่าว
หากเป็นผู้ที่กำลังสร้างครอบครัวหรือกำลังมีเจ้าตัวน้อยๆ ด้วยแล้ว ยิ่งมีความจำเป็นที่ต้องมีเงินสักก้อนเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพราะถ้าจะรอจากเงินเดือนอย่างเดียวอาจทำให้หลายๆ ครอบครัวต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งสำหรับการซื้อสินค้าที่มีราคาแพง และเครื่องใช้ในบ้านที่จำเป็น
โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ทางเลือกในการสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตจึงถูกคัดสรรมาเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่บางท่านทราบว่าดอกเบี้ยของบัตรเครดิตนั้นเมื่อนำมา เปรียบเทียบกับเงินกู้นอกระบบแล้วยังถูกกว่าเยอะ บัตรCredit
บัตรCredit จับจ่ายสบาย (เกินไป)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินพลาสติกนี้จะมีบทบาทสูงต่อการจับจ่ายในชีวิตประจำวันของคุณพ่อคุณ แม่ค่อนข้างสูง แต่ที่ผ่านมาการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยปราศจากการวางแผนการเงินที่ดี ผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ลืมตัวคิดว่าบัตรเครดิตนี้เป็นเพื่อนแท้ที่สามารถหยิบยื่น ความสุขต่างๆ ให้กับตนเองได้ตลอดเวลา และไม่ได้คิดว่าทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรดังกล่าวเป็นการนำเอาเงินใน อนาคตมาใช้
แม้ว่าในทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการนำเอาเงินในอนาคตมาใช้นั้น จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ใช้เงินล่วงหน้าอย่างขาดสติ และไม่มีความสมดุลระหว่างรายรับกับรายจ่าย สิ่งที่จะตามมาก็คือ ความตกต่ำทางด้านการเงินของผู้ใช้บัตรเครดิตที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ทั้งนี้ทุกๆ ครอบครัวคงทราบดีว่าการพึ่งพาบัตรเครดิตเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายในการจับ จ่ายโดยไม่ต้องพกเงินสดครั้งละมากๆ หรือถ้าเงินขาดมือก็สามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าได้ตามความต้องการ จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เกิดหนี้เสีย หากผู้ใช้ไม่คำนึงถึงรายได้ที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากวงเงินสินเชื่อของบัตรเครดิตที่สูงกว่าเงินเดือนหลายเท่า ทำให้ผู้ถือบัตรมีความรู้สึกที่ว่าตนเองมีเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายอยู่ตลอด เวลา อาจทำให้หลายคนใช้จ่ายจนเกินตัวได้ง่ายๆ
นอกจากนี้รายชื่อของผู้ใช้ บัตรCredit ยังเป็นฐานข้อมูลที่ดีสำหรับการขาย สินค้าของนักการตลาด สินค้าและบริการต่างๆ จะถูกส่งตรงมาเป็นกิเลสที่ล่อตาล่อใจให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ทั้งๆ ที่บางครั้งก็เป็นสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นและไม่ได้สร้างประโยชน์ที่แท้ จริงให้กับครอบครัว หากไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ถือบัตรเครดิต ต้องเสียเครดิตในไม่ช้า ดังนั้นผู้ถือบัตรทุกคนจะต้องรู้จักตัวเองเป็นอย่างดีว่า ค่าใช้จ่ายและระบบเศรษฐกิจในครอบครัวเป็นอย่างไร โดยเฉพาะความสามารถในการจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนั้นมีศักยภาพมากน้อย แค่ไหน
เพราะในอดีตที่ผ่านมาระบบการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้พ่นพิษให้กับคนจำนวน ไม่น้อยมาแล้ว จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกกฎเหล็กมาควบคุม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดิฉันคิดว่าหากคุณไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแล้ว อนาคตของผู้ถือบัตรก็จะต้องเป็นหนี้หัวโตอย่างแน่นอน
สิทธิพิเศษ ของแถมล่อใจ บัตรCredit
ที่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้ ก็เพราะทุกวันนี้สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตนั้นนับวันจะทำให้ผู้ที่ มีเครดิตลืมตัวไปว่าตนเองมีเงินอยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา เช่น การสะสมแต้มการใช้จ่ายเพื่อแลกซื้อสินค้าในราคาพิเศษจากการจัดรายการของ ธนาคารผู้ออกบัตร รวมทั้งการได้รับของแจกของแถมต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
Tricks of life อยากขอเตือนว่าหากวงเงินคุณยังมีเหลือพอสำหรับการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อ ครอบครัว ควรจะทบทวนหรือชะลอการซื้อ อย่าลืมว่ายอดคืนขั้นต่ำที่หลอกล่อให้ผู้ใช้บัตรจ่ายเพียงร้อยละ 10 นั้น เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือหากคุณไม่มีความสามารถเพียงพอในการชำระในแต่ละงวด ค่าปรับที่เกิดจากการผิดนัดชำระนั้นอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจใน ครอบครัวและประเทศอย่างแน่นอน
สิ่งที่ตามมาก็คือคนจำนวนมากต้องเป็นหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก แต่สำหรับผู้ที่ต้องถูกขึ้นบัญชีดำว่าเป็นผู้ถือบัตรที่ไม่สามารถบริหารการ ใช้จ่ายจนกลายเป็นหนี้เสียนั้น ก็จะทำให้เครดิตของคุณเสียไปด้วย ผลกระทบที่อาจตามมาก็คือคนบางคนต้องมีปัญหาในระบบสินเชื่อของสถาบันการเงิน ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก
หากต้องการใช้เงินพลาสติกแทนการพกเงินครั้งละมากๆ ปัจจุบันนี้ทางสถาบันการเงินต่างๆ เขาก็อำนวยความสะดวกด้วยการเปิดให้บริการใช้บัตรเดบิตหรือที่เรียกกันว่า "บัตรอิเลคตรอน" คือมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ก็สามารถใช้เท่านั้น วิธีนี้จะสามารถช่วยให้คุณๆ ประหยัดกันได้ทางหนึ่ง
อย่า ลืมว่าการมี บัตรCredit นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าต้องเป็นคนที่ไม่มีเครดิตเลย…ก็ยังดีกว่าเป็นคนเสียเครดิต ลองคิดดูเองนะคะว่าวันนี้คุณควรจะมีบัตรเครดิตหรือไม่ หรือถ้ามีอยู่แล้วควรจะบริหารการใช้จ่ายอย่างไร ดิฉันคิดว่าผู้ที่จะตัดสินใจได้ดีที่สุดก็คือตัวคุณเองค่ะ
ที่มา คลิ๊ก
เทคนิคการใช้ บัตรcredit
เขียนโดย
888
/
Comments: (0)
เทคนิคการใช้ บัตรcredit ให้เกิดประโยชน์"การใช้จ่ายผ่านบัตรcredit"
เชื่อว่าถ้าถามคนไหนที่ว่าใครไม่มีบัตรเครดิตบ้าง คงจะมีส่วนน้อยที่ตอบว่าไม่มีเพราะว่า บัตรcredit มีไว้ก็สามารถช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้เงินสูงสุด และไม่ต้องกังวลที่จะต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมากถ้าพกมากก็เป็นภัยกับตัวเอง
สำหรับผู้ที่ตกลงใจจะทำบัตรเครดิตควรจะต้องอ่านรายละเอียด และเงื่อนไขให้เข้าใจมากที่สุด ตั้งแต่วงเงิน อัตราดอกเบี้ย และอีกจิปาถะ เพื่อการใช้บัตรเครดิตอย่างมีประโยชน์สูงสุดแล้วที่นี้เราจะใช้จ่ายบัตรเครดิตให้มีประโยชน์สูงสุดกับเรายังไงมาดูกัน
ใช้จ่ายบัตรเพื่อ…
การใช้ บัตรcredit อย่างคุ้มค่าว่า พยายามใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรให้เต็มที่ บัตรบางใบก็ลดค่าอาหารได้ หรือได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆมากมาย
ดังนั้นก่อนใช้บัตรเราควรใช้บัตรกับสินค้าหรือบริการที่สามารถควบคุมการจ่ายได้เอง ซึ่งจะเป็นการให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ดังรายการต่อไปนี้
ค่าน้ำ-ค่าไฟ หรือ อีกสารพัน
ตัวเลขของแต่ละเดือนมันคงไม่ห่างไกลจากกันเท่าไหร่นัก ฉะนั้นคุณควรรวบรวมยอดแล้วเอาไปจ่ายทีเดียว เพราะแน่นอนว่าการจ่ายแบบนี้ยังไปช่วยเติมยอดสะสมให้สูงปรี๊ดได้ดีอีกด้วย
ค่าน้ำมัน
ที่ถือเป็นเรื่องปกติที่รถเราจะต้องเติมอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะจ่ายเงินสดมันก็อยู่ในมูลค่าเท่ากันอยู่ดีเพราะฉะนั้นเก็บเงินสดเอาไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า แล้วใช้บัตรจ่ายแทน และยังช่วยให้เราได้คะแนนเยอะ ๆ เพื่อไปแลกรับของที่เราต้องการได้อีกด้วย
การใช้จ่ายของในซูเปอร์มาร์เก็ต
อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าไปจับจ่ายใช้สอยข้าวของจิปาถะอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้งอยู่แล้ว การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะช่วยทำให้คุณสาว ๆ เพิ่มความรอบคอบและควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างดีเลยค่ะ เพราะใบแจ้งจะต้องแจ้งยอดในแต่ละเดือนทำให้เราสามารถเซ็กค่าใช้จ่ายได้ว่าในแต่ละเดือนใช้มากใช้น้อยอย่างไร และรู้ว่าควรจะลดลงตรงไหนเพื่อเป็นการประหยัดในคราวต่อ ๆ ไป
หลังจากใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วสิ่งสำคัญคือ การชำระเงินควรชำระเต็มจำนวน เพราะดอกเบี้ยแพงนะ ขอบอก.... และในทางกลับกัน การใช้บัตรเครดิตอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้คุณตกอยู่ในความเดือดร้อน
มีหลายกรณีที่ผลของการใช้บัตรเครดิตกลายเป็นภาระหนักทางการเงินของคุณแทนที่จะส่งเสริมการเงิน ส่วนตัวของคุณ เพราะฉะนั้นควรใช้อย่างพอเพียงและเพียงพอ ตามรอยพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า “ เศรษฐกิจพอเพียง “ จะดีที่สุดค่ะ
เชื่อว่าถ้าถามคนไหนที่ว่าใครไม่มีบัตรเครดิตบ้าง คงจะมีส่วนน้อยที่ตอบว่าไม่มีเพราะว่า บัตรcredit มีไว้ก็สามารถช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้เงินสูงสุด และไม่ต้องกังวลที่จะต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมากถ้าพกมากก็เป็นภัยกับตัวเอง
สำหรับผู้ที่ตกลงใจจะทำบัตรเครดิตควรจะต้องอ่านรายละเอียด และเงื่อนไขให้เข้าใจมากที่สุด ตั้งแต่วงเงิน อัตราดอกเบี้ย และอีกจิปาถะ เพื่อการใช้บัตรเครดิตอย่างมีประโยชน์สูงสุดแล้วที่นี้เราจะใช้จ่ายบัตรเครดิตให้มีประโยชน์สูงสุดกับเรายังไงมาดูกัน
ใช้จ่ายบัตรเพื่อ…
การใช้ บัตรcredit อย่างคุ้มค่าว่า พยายามใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรให้เต็มที่ บัตรบางใบก็ลดค่าอาหารได้ หรือได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆมากมาย
ดังนั้นก่อนใช้บัตรเราควรใช้บัตรกับสินค้าหรือบริการที่สามารถควบคุมการจ่ายได้เอง ซึ่งจะเป็นการให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ดังรายการต่อไปนี้
ค่าน้ำ-ค่าไฟ หรือ อีกสารพัน
ตัวเลขของแต่ละเดือนมันคงไม่ห่างไกลจากกันเท่าไหร่นัก ฉะนั้นคุณควรรวบรวมยอดแล้วเอาไปจ่ายทีเดียว เพราะแน่นอนว่าการจ่ายแบบนี้ยังไปช่วยเติมยอดสะสมให้สูงปรี๊ดได้ดีอีกด้วย
ค่าน้ำมัน
ที่ถือเป็นเรื่องปกติที่รถเราจะต้องเติมอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะจ่ายเงินสดมันก็อยู่ในมูลค่าเท่ากันอยู่ดีเพราะฉะนั้นเก็บเงินสดเอาไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า แล้วใช้บัตรจ่ายแทน และยังช่วยให้เราได้คะแนนเยอะ ๆ เพื่อไปแลกรับของที่เราต้องการได้อีกด้วย
การใช้จ่ายของในซูเปอร์มาร์เก็ต
อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าไปจับจ่ายใช้สอยข้าวของจิปาถะอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้งอยู่แล้ว การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะช่วยทำให้คุณสาว ๆ เพิ่มความรอบคอบและควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างดีเลยค่ะ เพราะใบแจ้งจะต้องแจ้งยอดในแต่ละเดือนทำให้เราสามารถเซ็กค่าใช้จ่ายได้ว่าในแต่ละเดือนใช้มากใช้น้อยอย่างไร และรู้ว่าควรจะลดลงตรงไหนเพื่อเป็นการประหยัดในคราวต่อ ๆ ไป
หลังจากใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วสิ่งสำคัญคือ การชำระเงินควรชำระเต็มจำนวน เพราะดอกเบี้ยแพงนะ ขอบอก.... และในทางกลับกัน การใช้บัตรเครดิตอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้คุณตกอยู่ในความเดือดร้อน
มีหลายกรณีที่ผลของการใช้บัตรเครดิตกลายเป็นภาระหนักทางการเงินของคุณแทนที่จะส่งเสริมการเงิน ส่วนตัวของคุณ เพราะฉะนั้นควรใช้อย่างพอเพียงและเพียงพอ ตามรอยพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า “ เศรษฐกิจพอเพียง “ จะดีที่สุดค่ะ
เคล็ดลับการใช้บัตรcredit แบบสุดคุ้ม
เขียนโดย
888
ป้ายกำกับ:
บัตรcredit
/
Comments: (0)

1. จ่ายหมด ไม่มียอดค้างชำระ แค่นี้บัตรเครดิตก็ไม่มีทางได้กินดอกเบี้ยแล้ว (อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ร้อยละ 18 ต่อปี)
2. อย่าติด Late Charge ถ้าจ่ายทั้งหมดไม่ได้ ก็จ่ายเท่ายอดขั้นต่ำ แต่จ่ายตามกำหนด ถ้าจ่ายช้ากว่าวันนัดชำระ จะเสียค่าปรับที่แพงขึ้นอีก 100-200 บาท หรือเลือกใช้บัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินของไทย เพราะเดี๋ยวนี้จะไม่มีค่าปรับหากชำระช้าอีกแล้ว
3. อย่าเบิกเงินสดด้วยบัตรเครดิต ประเภทวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด เพราะจะเสียค่าธรรมเนียมแพงประมาณ 3% ของเงินสดที่เบิกออกมา รวมเงินต้น และดอกเบี้ยแล้ว จ่ายหนักแน่
4. ไม่ซื้อของกับร้านที่คิดค่าบริการเพิ่มเมื่อใช้บัตรเครดิต บางร้านชาร์จเพิ่ม 2-5% แนะนำว่าไปซื้อร้านอื่นดีกว่า หรือทางร้านค้าจะไม่มีสิทธิ์มาชาร์จเพิ่มอีกแล้ว บัตรcredit
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองให้มาใช้บัตรเครดิตให้คุ้มกันดีกว่า. บัตรcredit
ข้อมูลจาก เดลินิวส์
ปลดพันธนาการหนี้ กับ บัตรcredit
เขียนโดย
888
on วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)

หนี้จึงเปรียบเสมือนอวัยวะติดตัวของคนจำนวนไม่น้อยและคุณสมบัติเด่นของหนี้คือ "สร้างง่ายแต่กำจัดยาก" สิ้นดี บางครอบครัวปล่อยให้หนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนสนิทสนมคุ้นเคยกับคำว่าหนี้เป็นอย่างดี ทั้งหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางการเงินของคุณทั้งสิ้น
บัตรcredit
หากวันนี้หนี้ทำให้สุขภาพทางการเงินของคุณกระท่อนกระแท่น เช่นรายได้เดือนละ 25,000 บาท แต่ต้องกันเงินไว้ใช้หนี้บัตรเครดิต ผ่อนรถ สินเชื่อบุคคล เบ็ดเสร็จแล้วเดือนละ 20,000 บาท เลิกคิดไปได้เลยที่จะเหลือไว้ออม เพราะยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้แค่ 5,000 บาท เผลอๆใช้ได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็เกลี้ยงกระเป๋า จนต้องไปกู้ยืมเงินมาเสริมสภาพคล่องเพื่อใช้ให้ชนเดือน
บัตรcredit
นี่เป็นสัญญาณร้ายที่กะพริบเตือนว่า สุขภาพทางการเงินของคุณอยู่ในภาวะย่ำแย่เต็มที ฉะนั้นสิ่งที่ควรลงมือทำในวันที่คือจัดการกับต้นเหตุอย่างจริงจังเสียที หลายคนอาจจะรู้สึกว่าการปลดหนี้นั้นยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา(เอเวอร์เรสท์) แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรยกเกินความสามารถ ค่อยๆ ปลดเปลื้องไปทีละนิด จะได้สัมผัสความรู้สึกที่ว่ายกภูเขาออกจากอกนั้นเป็นอย่างไร ใครยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองทำตามบัญญัติ 5 ประการสำหรับจัดการหนี้ดังต่อไปนี้
1. หยุดสร้างหนี้เพิ่ม
ถ้าในแต่ละเดือนคุณต้องจ่ายหนี้เดือน 20,000 บาททั้งที่เงินเดือน 25,000 บาท นั้นเท่ากับว่าสิ่งแรกที่คุณต้องทำคือประกาศเป็นศัตรูกับหนี้ทุกประเภท เช่นอยากได้มือถือรุ่นใหม่ใจจะขาด คุณอาจจะคิดว่าถ้าใช้วิธีผ่อนจ่ายรายเดือน 12 เดือน ก็มีหนี้เพิ่มอีกแค่เดือนละ 2,000 บาทเท่านั้นเอง อย่าเด็ดขาด! ถ้ามัวแต่คิดแบบนี้คุณก็จะก้าวไม่พ้นจากกับดักแห่งหนี้แน่นอน
หนทางที่จะปลดเปลื้องหนี้ได้ ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า ไม่ว่าหนี้หน้าไหนก็อย่างได้ไปข้องแวะด้วย จะเป็นหนี้นอกหรือในระบบจะก้อนเล็กหรือใหญ่ก็ช่าง ถ้าผ่านด่านแรกนี้ไปได้ ประตูสู่อิสรภาพทางการเงินเปิดรอคุณแล้ว
2. รัดเข็มขัด
หยุดสร้างหนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องรู้จักใช้จ่ายให้เป็น ควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รีดค่าใช้จ่ายที่เป็นไขมันส่วนเกินออกให้มากที่สุด เรียกว่า ในพจนานุกรมของคุณต้องมีคำว่า "ประหยัด" และ "มัธยัสถ์" และดีลีทคำว่า "ฟุ้งเฟ้อ" และ "ไม่จำเป็น" ออกไปโดยเร็ว
วิธีรัดเข็มขัดก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแค่คุณลองลิสต์รายการใช้จ่ายประจำเดือนอออกมาทุกอย่างก็จะปรากฏและฟ้องว่า มีค่าใช้จ่ายตรงไหนบ้างที่บางทีอาจไม่จำเป็นกับชีวิตคุณเท่าไหร่ แต่คุณก็เสียสตุ้งสตางค์ให้กับสิ่งเหล่านี้แทบทุกเดือน เช่นค่าเคเบิลทีวีเดือนละหลายพันบาท ทั้งที่ความจริงแทบไม่ได้ดูอะไรเท่าไหร่ เพราะกว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว อันนี้คงต้องทบทวนว่า ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็อาจจะตัดรายจ่ายตรงนี้ออกสนองนโยบายรัดเข็มขัดอย่างน้อยงบดุลของคุณในฝั่งรายได้ก็จะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายพันเชียวล่ะ
3. เปลี่ยนนิสัยใช้จ่าย
ข้อนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด บางคนอาจจะบอกว่ายาก ขณะที่บางคนบอกว่าง่าย เพราะคำว่า "นิสัย" นี่แหละเปลี่ยนยากเสียเหลือเกิน แต่ยามที่สุขภาพทางการเงินย้ำแย่ หนี้ท่วมแบบนี้ ถ้าคุณยังใช้นิสัยจับจ่ายเพลินมือแบบเดิมๆเห็นทีจะพ้นกับดักหนี้ยาก เข้าใจอยู่หรอกว่าชีวิตคนโสดหรือไม่โสดก็ตามที มักจะมีเรื่องพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเป็นการคลายเครียด แต่ถ้าหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ คุณยังปาร์ตี้สัปดาห์ละ 3 คืนทั้งๆ ที่หนี้ท่วมหัว อันนี้ก็อาจจะเครียดยิ่งกว่าเดิม ทางที่ดีช่วงจัดการหนี้ ควรลด ละ เลิกซะ ปรับเปลี่ยนนิสัยใชัจ่ายแบบเดิมๆ เชื่อสิว่าช่วยได้เยอะทีเดียว
4. มุ่งมั่นกำจัดหนี้เก่า
เมื่อรัดเข็มขัดแล้ว หยุดสร้างหนี้แล้ว แถมเปลี่ยนนิสัยใชัจ่ายด้วยในเวลาเดียวกันคุณต้องมุ่งมั่นจำจัดหนี้ก้อนเก่าอย่างตั้งใจจริงด้วย บางคนอาจจะบอกว่าขั้นตอนนี้นี่เองที่ยากที่สุด
มาถึงตรงนี้ ถ้าหนี้ก้อนใหญ่ คุณอาจจะต้องตั้งสติให้มั่น หาวิธีปลดหนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่นถ้าเป็นหนี้นอกระบบเสียเป็นส่วนหญ่ ก็อาจจะต้องหาทางกู้ในระบบออกไปปลดหนี้นอกระบบก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้น้อยลง จากนั้นค่อยมาผ่อนชำระะกับสถาบันการเงิน
5. อย่าปล่อยให้ขึ้นบัญชีดำ
ไม่ว่าคุณจะหนี้มากหนี้น้อย ขอให้รู้ไว้ว่ากฎเหล็กของการเป็นหนี้คือ อย่าปล่อยให้ชื่อของตัวเองหลุดไปโผล่ในบัญชีดำของเครดิตบูโรโดยเด็ดขาด เพราะเท่ากับว่าเครดิตทางการเงินของคุณจะล่มสลายตามไปด้วย
เคยมีตัวอย่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผ่อนชำระเครื่องไฟฟ้ารายเดือนล่าช้า เพราะเห็นว่าเป็นเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่หลังจากนั้นเมื่อเขาจะไปทำธุรกรรมทางการเงินในด้านต่างๆ ก็ล้วนเผชิญปัญหาและติดขัดไปหมด เพราะความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นี่เอง
ฉะนั้นหากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตเงินกู้ส่วนบุคคล หรืออะไรก็ตาม ถ้าเริ่มมีปัญหาในการผ่อนชำระ หรือทำท่าว่าจะไปไม่รอด อันดับแรกเลยคุณต้องเข้าไปหารือกับสถาบันการเงินเพื่อบอกเล่าถึงความจำเป็นในการผัดผ่อนของ และความตั้งใจจริงในการชำระหนี้
หากคุณลงมือทำตามบัญญัติ 5 ประการข้างต้น เชื่อเหลือเกินว่าคุณจะปลดเปลื้องพันธนาการแห่งหนี้ได้ในที่สุด
บัตรcredit
*******===========*******
ขอขอบคุณแนวทางและข้อมูลดีๆ จากหนังสือ "MONEY DIY จัดการระเบียบการเงินให้อยู่มัด !"
เขียนโดยคุณกาญจนา หงษ์ทอง